ในช่วงวัยเด็ก ฉันมีความสุขมากในการดำรงชีวิต เรียนและก็เล่น สภาพครอบครัวก็อยู่ในสถานะปานกลาง พอกินพอใช้ ไม่เดือดร้อนเรื่องการกินอยู่ การเลี้ยงดูของพ่อแม่ก็ไม่ได้กดดันชีวิตอะไร มีอิสระในการตัดสินใจ เช่น ตอนสอบเข้ามัธยมต้นที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ก็ตัดสินใจเอง สภาพครอบครัวไม่มีการบังคับว่าจะต้องอ่านหนังสือ ผมเลือกและตัดสินใจที่จะขยันเรียนเอง

อาการความเจ็บป่วยทางจิตเริ่มชัดเจนเมื่อตอนสอบแพทย์มหิดลของโรงพยาบาลรามาธิบดี ปี 1 แต่อาการเริ่มต้นน่าจะตอนอยู่ ม.5 หลังจากสอบเทียบได้แล้ว ตอนเรียนอยู่ปี 1 ก็เกิดอาการแยกตัว ไม่สุงสิงกับใคร และคิดว่าเราสามารถติดต่อกันได้ทางโทรจิต เริ่มมีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน คิดว่าเราเป็นคนสำคัญ พอเป็นหนักขึ้นก็ไม่เข้าไปเรียนแล้วเก็บตัวอยู่คนเดียว ทางหอพักก็ติดต่อกับที่บ้านให้มารับตัวนำส่งโรงพยาบาลรามาธิบดี

การรักษาตัวช่วงแรก ต้องไปหาหมออาทิตย์ละครั้ง พออาการดีขึ้นก็กลับไปเรียนต่อซ้ำชั้นปี 1 ใหม่ แต่พอปลายปีก็กลับมามีอาการอีก ตอนนี้พิจารณาตัวเองว่าไม่เหมาะสมกับการเป็นแพทย์จึงลาออกมา ต่อมาตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง สอบได้วิศวะจุฬาฯ จึงย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ การเรียนกระท่อนกระแท่น ในที่สุดก็ต้องรีไทร์จากวิศวะจุฬา ฯ เมื่อเรียนไปได้ 5 ปีครึ่ง พักรักษาตัวอยู่ช่วงหนึ่ง ก็กลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในช่วงนั้นได้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา จวบจนถึงปัจจุบัน สามารถเรียนจบปริญญาตรี 2 ฉบับ คือ ศิลปะศาสตร์บัณฑิตทางภาษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ และ วิทยาศาสตร์บัณฑิตทางวิทยาการคอมพิวเตอร์

พอจบการศึกษา ไม่สามารถหางานทำได้ ก็ว่างงานอยู่พักหนึ่ง พอดีตอนนั้นรักษากับคุณหมอสมรัก ชูวานิชวงศ์ คุณหมอแนะนำให้ลองมาที่ลิฟวิ่งเพื่อทำกิจกรรม พอมาระยะหนึ่งคุณพีรพงศ์ เชี่ยววัฒนากุล ก็ชวนมาทำงานที่สมาคมสมาพันธ์ผู้ดูแลไทย พอปีต่อมาก็ย้ายมาทำงานที่ลิฟวิ่ง จนถึงปัจจุบัน ช่วงที่มาทำงานที่ลิฟวิ่ง ช่วงแรกมีปัญหาเรื่องการตื่นนอนมาทำงาน เพราะรู้สึกง่วงมาก ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการปรับตัว การมาทำงานที่ลิฟวิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความรับผิดชอบในการมาทำงานให้ทัน ต้องต่อสู้อย่างมาก ลิฟวิ่งให้โอกาสในการทำงานที่ชอบ คือในด้านคอมพิวเตอร์ ได้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของสมาคม ทำให้ได้เห็นจุดแข็งในด้านนี้ และได้รับผิดชอบในงานด้านธุรการและบุคคล ทำให้เห็นศักยภาพของเรา เกิดการฟื้นฟูเราผ่านการทำงาน การฟื้นคืนสู่สุขภาวะได้เป็นจริงจากที่นี่ ทำให้เราไม่ต้องแอดมิทเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลอีก อีกทั้งยังเห็นคุณค่าเรา ให้การเดินทางผ่านการคืนสู่สุขภาวะร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ที่นี่ทำให้เรามีที่ยืนในสังคม เคารพกันในความเห็นที่แตกต่าง ยอมรับซึ่งกันและกัน เห็นจุดแข็งของแต่ละคน ช่วยกันขับเคลื่อนให้ลิฟวิ่งเดินต่อไปได้ ขอขอบคุณลิฟวิ่งที่ให้โอกาส สามารถพึ่งพาตนเอง และเป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัว อยากให้มีการยอมรับแบบนี้เกิดขึ้นทั้งประเทศ และทั้งโลก