Home » อุษณิษา เอกโชติ (หนิง)

เมื่อก่อนในวัยเด็ก จำได้ว่ามีความสุขมาก คุณพ่อทำงานดีมีฐานะอยู่อย่างสบาย จนเริ่มเข้าช่วงประถม ชีวิตก็เปลี่ยนไปเมื่อคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน คุณพ่อมีภรรยาใหม่ ส่วนคุณแม่ก็มีสามีใหม่  

ช่วงวัยรุ่นด้วยความที่ไม่สามารถที่จะอยู่กับใครได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่ จากเด็กที่เคยน่ารัก กลับกลายเป็นเด็กเที่ยว ติดเพื่อน เกเร และเริ่มสูบบุหรี่กินเหล้า หนีออกจากบ้าน

คุณแม่มารู้ว่าฉันเริ่มป่วยตอนเรียนอยู่ ปวช. เพื่อนที่อยู่ด้วยกันโทรไปบอกว่าฉันมีพฤติกรรมแปลกๆ ชอบพูดคนเดียว ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ คุณแม่เล่าว่าได้พาฉันไปห้างและฉันก็ไปอาละวาดที่นั่น จนคุณแม่ตัดสินใจพาไปรักษาที่รพ.ศรีธัญญา คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทด้วยอาการหูแว่วประสาทหลอนและหลงผิด

ฉันได้ยินคนมาบอกว่าฉันเป็นทหารรักษาพระองค์ เป็นกษัตริย์ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ และฉันก็เชื่อและทำตัวตามนั้นคือบอกแม่ว่าจะไปลาดตระเวน ไปออกรบและอีกหลาย ๆ อย่าง ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ ทั้งการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่ความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ไป

เมื่อคุณแม่รู้ว่าฉันป่วยท่านยอมเลิกกับสามีใหม่เพื่อมาดูแลฉัน และยังมีพี่ชายอีก 1 คนที่ยอมสละความสุขมาดูแล ฉันเริ่มเข้ารับการรักษา

เส้นทางการคืนสู่สุขภาวะของฉันก็เริ่มต้นขึ้น ตอนแรกเริ่มด้วยการกินยาและแอดมิทอยู่เรื่อย ๆ ตอนแรกฉันไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย จึงไม่ยอมกินยา ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ได้ยินคืออาการหูแว่ว ฉันก็ยังเดินลาดตระเวนต่อไป ฉันรักษากับคุณหมอมานานมาก คุณหมอให้เวลาพูดคุยกับฉันมาตลอด จนคุณหมอตัดสินใจเปลี่ยนจากยากินเป็นฉีด

ฉันได้รับยาที่เหมาะสมร่วมกับมีคุณแม่และพี่ชายที่ดูแลและเข้าใจในอาการฉันดีทุกอย่างทำให้ฉันเริ่มดีขึ้น อย่างแรกตอนที่ดีขึ้นคือเห็นคุณมานั่งร้องไห้ ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณแม่ต้องออกจากงานที่ดีเพื่อมาดูแลฉัน ทำให้ฉันคิดว่าป่วยอย่างนี้ไม่ได้แล้ว จึงได้ปรึกษาคุณหมอว่าอยากทำงาน ซึ่งคุณหมอก็ให้โอกาส บอกว่าจะพาฉันไปฝากทำงานที่โรงงาน ตอนนั้นฉันดีใจมากเลยค่ะ เหมือนเห็นแสงสว่างเห็นช่องทางชีวิตที่จะเดินต่อไป ฉันทำงานอย่างขยัน ขันแข็ง อย่างเต็มที่ แต่การทำงานสำหรับฉันมันก็ไม่ง่ายเลย เพราะฉันต้องทานยาจิตเวช ทำให้ฉันง่วง ตื่นยาก ไม่อยากตื่นมาทำงาน ต้องฝืนตัวเองสุดฤทธิ์ที่จะตื่นให้ได้ สมองที่ถูกทำลายเพราะป่วยทำให้ความคิดช้าลง แต่ด้วยคนที่โรงงานเข้าใจทำให้ฉันค่อยๆทำไปจนทำได้  แล้วฉันก็อยากเรียนต่อปริญญาตรี ฉันไปสมัครเรียนที่  มสธ. ฉันตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ฉันก็ประสบปัญหาเดิมคือง่วงนอน ลุกมาเรียนไม่ไหว หัวช้า ฉันต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนทั่วไปอาจจะสัก 10 เท่าเลยก็ได้ในการฝืนตัวเอง จน 4 ปีครึ่งฉันก็จบปริญญาตรีอย่างที่ตั้งใจไว้

ฉันเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ได้ยินมันเป็นเพราะสารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติ ฉันรับรู้และหาวิธีที่จะอยู่กับมัน ตอนนี้ฉันก็ยังได้ยินเสียงคนคุยนะ แต่ฉันรู้แล้วว่ามันคือหูแว่ว และจะไม่เชื่อในหูแว่วนั้นอีกตลอดไป ตอนนี้ฉันเลิกลาดตระเวนแล้วค่ะ (ฉันเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ได้แล้วด้วยค่ะ)

พอเรียน ป.ตรี จบฉันก็ได้ไปทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ฉันทำที่นี้ได้ 9 ปี ได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้อะไรต่างๆมากมาย แต่ด้วยที่ทำงานมีความเครียด ความกดดันสูงมาก ทั้งจากตัวงาน หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ประกอบกับอาการที่ฉันป่วยด้วยโรคจิตเวช แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากใคร ทำให้ฉันเริ่มทำงานไม่ไหว

เมื่อฉันได้เข้ามาทำงานที่ลิฟวิ่ง ได้ไปอบรม Peer Support(เพื่อนเสริมสร้างชีวิต) ได้ทำบัญชี คลังสินค้า ประชาสัมพันธ์ ฉันตั้งใจทำงานทุกอย่าง อย่างเต็มที่เพื่อให้งานออกมาดี และแน่นอนการทำงานต้องมีอุปสรรค มีพลาด

ลิฟวิ่งได้สอนให้เรียนรู้หลักการที่จะอยู่ด้วยกัน ทำให้ชีวิต ความคิดของฉันเปลี่ยนไป เวลาที่ทำงานที่ลิฟวิ่งแล้วฉันทำงานพลาด หัวหน้างานจะสอนฉันให้ได้เรียนรู้กับความผิดพลาด ให้โอกาส เราจะมานั่งคุยกันว่าเกิดปัญหาอะไรและช่วยกันแก้ไขปัญหานั้นไปด้วยกัน

ลิฟวิ่งหล่อหลอมให้เห็นคุณค่าในตัวเอง ถึงแม้ว่าเราจะป่วย แต่คุณค่าความเป็นคน อัตลักษณ์ที่ดีของเรา เช่น ความอดทน ความขยัน ความรับผิดชอบ มันไม่ได้หายไปไหนเลย ความเจ็บป่วยเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตไม่ใช่ทั้งหมด ฉันมีความรู้สึกว่าฉันทำงานและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีความหมายแม้ยังเป็นโรคจิตเวชอยู่  

ฉันอยากบอกกับผู้ป่วยจิตเวช ที่กำลังเดินอยู่ในเส้นทางของการคืนสู่สุขภาวะ การเดินทางมีขึ้นมีลงแน่นอน แต่ขอให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง ยอมรับและเรียนรู้ในสิ่งที่เป็น ครอบครัวให้กำลังใจกัน เข้าใจกัน ฝ่าฟันอุปสรรคไม่ท้อถอย สักวันต้องเป็นวันของเราค่ะ

บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ